J-HERO.COM Review: Kamen Rider Saber

The saber in your hand
Is a pen to write it down
Words to save this world
ALMIGHTY ~ Kamen no Yakusoku

ชื่อเรื่อง: Kamen Rider Saber (仮面ライダーセイバー/聖刃) คาเมนไรเดอร์เซเบอร์

ออกอากาศ: 6 กันยายน 2020 – 29 สิงหาคม 2021

จำนวนตอน: 47 ตอน + 1 ตอนพิเศษ

เขียนบท:

Takuro Fukuda (Head Writer)
Nobuhiro Mouri
Keiichi Hasegawa
Hiroki Uchida

กำกับการแสดงโดย:

Takayuki Shibasaki
Shojiro Nakazawa
Kazuya Kamihoriuchi
Hidenori Ishida
Koichi Sakamoto
Satoshi Morota
Teruaki Sugihara
Hiroki Kashiwagi

นำแสดงโดย:

Shuichiro Naito
Takaya Yamaguchi
Asuka Kawazu
Ryo Aoki
Yuki Ikushima
Eiji Togashi
Hiroaki Oka
Tomohiro Ichikawa
Mei Angela
Ken Shonozaki
Keisuke Sohma
Tobi
Robin Furuya
Kairu Takano
Koji Saikawa
Hiroyuki Hirayama
Rina Chinen

เรื่องย่อ:

นานมาแล้ว มีกลุ่มนักดาบที่เรียกตนเองว่า Sword of Logos พวกเขาจับดาบต่อสู้เพื่อปกป้อง “หนังสือแห่งการรู้แจ้ง” จากเงื้อมมือของเหล่า Megid ที่ต้องการจะใช้มันเขียนนิยามของโลกใหม่ ซึ่งการต่อสู้นั้นดำเนินมายาวนานนับพันปี กระทั่งถึงยุคปัจจุบัน

คามิยามะ โทวมะ นักเขียนหนุ่มผู้มีอดีตที่ขาดหาย ได้ครอบครองหนังสือ Wonder Ride Book อย่าง Brave Dragon และวันแห่งโชคชะตาก็มาถึง เมื่อ Megid ปรากฎตัวต่อหน้าและพยายามช่วงชิงส่วนหนึ่งของเมืองไป พวกมันรวมมิติให้เข้ากับโลกแห่ง Wonder World ดินแดนอันเป็นจุดกำเนิดของหนังสือแห่งการรู้แจ้ง และเรื่องราวของจินตนาการที่ไร้จุดสิ้นสุด

โทวมะซึ่งกำลังพยายามปกป้องทุกคนได้พบกับดาบแห่งอัคคี คาเอ็นเคนเรกกะ และใช้มันแปลงร่างเป็น Kamen Rider Saber โดยที่เค้าไม่รู้เลยว่าการกระทำในตอนนั้น จะทำให้ตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง Sword of Logos และ Megid ที่มีโลกและ Wonder World เป็นเดิมพัน

REVIEW:

นี่คือผลงานการเขียนบทชิ้นที่ 2 ของ Fukuda Takuro ในสารบบคาเมนไรเดอร์ซีรีส์ โดยก่อนหน้านั้นกับ Kamen Rider Ghost เขาเองก็รับงานเป็นหัวหน้าทีมการเขียนบทด้วยเช่นกัน แม้ในช่วงแรกของการแถลงข่าว จะมีกระแสในแง่ลบออกมาจากผู้ชมว่านี่จะเป็นการซ้ำรอยการดำเนินเรื่องที่น่าเบื่ออย่างเช่นเรื่องที่แล้วหรือไม่ ฤาจะเป็นงานล้างบาปที่ทำให้คนดูรู้สึกว้าวไปพร้อม ๆ กับธีมแฟนตาซีที่เกาะกระแสนักดาบซึ่งกำลังมาแรงในวงการ Pop Culture อยู่ในช่วงเวลาที้เปิดตัวกันแน่?

เซเบอร์เปิดเรื่องด้วยพล็อตการตามหาปริศนาในอดีต โดยผู้ชมสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็นสี่ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ 1. บทแห่งนักดาบ Sword of Logos, 2. บทแห่งการทรยศของเซเบอร์, 3. บทแห่ง Master of Logos และ 4. บทแห่ง Wonder World ของหนังสือแห่งการรู้แจ้ง ซึ่งแต่ละบทแต่ละตอนก็มีการหมุนเวียนมือเขียนบทสลับกันไปมาตามรูปแบบของตัวละครและเนื้อเรื่อง อีกทั้งยังใช้ผู้กำกับ 8 คนเข้ามาควบคุมการแสดงให้ตรงตามคอนเซปต์ของหัวหน้าทีมเขียนบท

ปัญหาแรกที่พบก็คือการใช้จำนวนผู้เขียนบทเยอะ จนทำให้โทนของเนื้อเรื่องแกว่งไปมา บวกกับ “บท” ที่ดูไม่ลื่นไหล ทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ และอึดอัดกับการเดินเรื่องที่บทจะช้าก็ช้า บทจะไปเร็วก็ไหลจนตามไม่ทัน แต่เข้าใจว่า “กรอบ” ที่โปรดิวเซอร์และสปอนเซอร์ได้ตั้งกำแพงเอาไว้ จึงทำให้เนื้อหาบททีวีดูมีข้อจำกัด แต่เมื่อเซเบอร์ไปปรากฏในช่องทางอื่นที่ไม่ใช่การออกอากาศแบบปรกติ กลับพบว่ามันสนุกกว่าที่เคยดูอย่างเห็นได้ชัด

แต่ที่รู้สึกอิหยังวะมากไปกว่าส่วนอื่นก็คือ มือเขียนบทหลักนั้นรับหน้าที่เขียนบทน้อยกว่ามือเขียนบทรอง โดยคุณ Hazekawa Keiichi ซึ่งตัวเค้าเองทั้งเรื่อง มากกว่าคนเขียนบทหลักอย่าง Fukuda Takuro ซะอีก

(ฟุคุดะเป็น Head Writer เขียนเอง 14 ตอน ไม่นับตอนพิเศษและมูฟวี่ ส่วนฮาเซกาว่าเขียน 19 ตอน)

ด้านคาแรคเตอร์ตัวละครเองก็เป็นจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คาเมนไรเดอร์เซเบอร์เป็นซีรีส์ที่ใช้ตัวละครหลักเยอะมากกว่าเรื่องก่อนหน้า เหตุเพราะมีสินค้าที่ต้องเปิดตัวไม่ซ้ำแบบ (หนังสือ และดาบ) อีกทั้งบทที่ปูมาต้องอาศัยจำนวนนักดาบมาอธิบายความเป็นไปของเหตุและผล จึงทำให้มีตัวละครซัพพอร์ตถึง 10+ คนด้วยกัน ซึ่งการสร้างตัวละครขึ้นมานั้นบางตัวทำได้ดีจนน่าติดตาม บางตัวออกมาเพื่อสร้างประเด็นเพียงไม่กี่อย่าง และบางตัวถึงกับเกาหัวเลยว่าสร้างมาเพื่ออะไร?

ประกอบกับพัฒนาการของบางคาแรคเตอร์ที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล เมื่อรวมกับบทที่ดูทะแม่ง ๆ แล้ว บางคนเพียงติดตามไม่กี่ตอนถึงกับหยุดดูเลยก็มี แต่สิ่งที่ชดเชยได้คือความมุ่งมั่นและจริงจังของเหล่านักแสดงที่เล่นดีมากซะจนอยากรู้ว่าพวกเค้าจะไปสุดได้ที่ตรงไหน

ต่อมาคือเรื่องดีไซน์และกราฟิก หากเทียบกับเรื่องก่อนหน้านับว่าทีมงานมีความพยายามในการนำเอา CGI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ไวรัสระบาด รวมไปถึงธีมของเรื่องที่อยากเน้นความเป็นแฟนตาซีอยู่แล้ว จึงทำให้มีการเน้นหนักมาทางการแสดงผลด้านนี้เป็นพิเศษ

แต่กระนั้นก็ยังมีจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้ผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกถึงคุณภาพที่ไม่คงที่ของงานที่ถูกนำเสนอออกมา นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับสเกลของเรื่อง เอาเป็นว่ามีเรื่องให้ชมมากกว่าเรื่องให้ติอยู่หน่อยนึงละกัน

ความดีความชอบจุดหนึ่งที่อยากจะอวยยศให้อย่างเต็มความภาคภูมิ คือประเด็นที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง กับงานแอคชั่นของที่ JAE ซึ่งก็ถือเป็นจุดเด่นที่คาเมนไรเดอร์ซีรีส์ทำต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว และ คุ ณ ภ า พ ของทีมงานในจุดนี้เรียกได้อย่างเต็มปากว่าฝีมือไม่ตกเลยจริง ๆ

เพราะหากคุณเป็นผู้ชมสายวิเคราะห์ประเด็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่จากซีรีส์ คุณจะเพลิดเพลินไปกับ Lore และ Gimmick ที่ผู้สร้างยัดใส่เข้ามาทั้งในเชิงการออกแบบ เชิงอรรถของเรื่อง รวมไปถึงการต่อยอดความคิดที่เอาไปนั่งถกกันได้เป็นวัน

และหากคุณชอบงานแอคชั่นที่เล่นกับมุมกล้อง เซเบอร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่งเช่นกัน จะติดอย่างเดียวก็คือการ Tie-In สินค้าที่ดูเหมือนจะน่ารำคาญมากกว่าความตื่นเต้นเสียอีก

สรุป:

คาเมนไรเดอร์เซเบอร์นับว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่แฝงไปด้วยมุ่งมั่นของทีมงานที่ตั้งใจจะส่งมอบความสนุกผ่านธีมของจินตนาการสุดล้ำ ท่ามกลางสภาวะของโรคระบาดที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ด้วยเนื้อหาแหวกกว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด รวมไปถึงการเล่นใหญ่ของตัวละครพร้อมกับงานกำกับคุณภาพที่อยู่ภายใต้พล็อตอลังการ ทว่าจะติดก็แค่เรื่องของการถ่ายทอดบทซึ่งดูขัดใจอยู่หลายจุด กระนั้นก็อยู่ที่ Taste ของผู้ชมแล้วว่าจะมองกันในมุมไหน

ซี่รีส์ที่ดี คือซีรีส์ที่คุณรัก หากคุณไม่ประทับใจใน First Impression คุณอาจจะมีความรู้สึกอึดอัดที่ต้องดูไปจนจบ (ซึ่งมันก็น่าอึดอัดจริง และหาจุดที่ทำให้คุณเปลี่ยนใจได้ยาก) แต่หากคุณหลงรักในเนื้อหาทำนองนี้ นี่อาจจะเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดในปีนี้สำหรับคุณ เพราะเซเบอร์เหมาะสำหรับคนดูที่ไม่คิดอะไรมาก และกลุ่มคนดูที่ชอบคิดลึกมาก

ส่วนกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็กเล็ก (รวมไปถึงนักสะสม) คงไม่ต้องถาม เพราะแค่เข็มขัดที่ดึงมาเป็นดาบได้ พวกเค้าก็พร้อมจะส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ผู้ปกครองให้ควักกระเป๋าเงินซื้ออย่างแน่นอน เพราะยอดขายเข็มขัดและวันเดอร์ไรด์บุคคงไม่โกหกถึงความสำเร็จในแง่ของการตลาดได้เป็นอย่างดี